บทพระ-บทนาง

บทพระ-บทนาง -
ในบทความที่แล้วเราได้เกริ่นกันไว้ว่าบทบาทสำคัญในการแสดงงิ้วมีอยู่สี่บท และเราได้ทำความรู้จักบทหน้าลายกับบทตัวตลกกันแล้วคราวนี้ก็ต้องกล่าวถึวประเภทของตัวละครงิ้วอีกสองบทที่ถือเป็นตัวละครที่สำคัญและทรงอิทธิพลต่อผู้ชมมากเป็นอันดับต้นๆบทบาทที่เราจะมาทำความรู้จักกันต่อในคราวนี้คือ บทพระและบทนาง

ตั้น คือ บทตัวนาง แบ่งย่อยเป็นหลายแบบ เช่น นางเอกหลักที่เน้นการร้อง นางเอกสาวที่เน้นการแสดง นางเอกบู๊ที่เน้นท่าทาง ฯลฯ ซึ่งแต่ละแบบ ล้วนแต่มีเสน่ห์และวิธีการแสดงที่แตกต่างกันไป ไม่ว่าจะเป็นการใช้เสียง ลีลาท่าทาง ล้วนแต่มีขนบในกาีแสดงที่กำหนดไว้ชัดเจน

เดิมสถานะของบทตัวนาง จะมีหน้าที่แค่ตัวประกอบ เพราะรูปแบบการแสดงงิ้วแต่โบราณเน้นที่บทตัวพระ ดังนั้นในสมัยก่อนบทตัวนางจะไม่มีท่าทางการแสดงมาก โดยเฉพาะบทนางเอกหลักที่เน้นการร้อง มักจะออกมายืนนิ่ง มือประสานกันอยู่บริเวณบั้นเอวด้านใดด้านหนึ่งแล้วร้องบรรยายเนื้อหา เน้นเสียงสูงและก้องกังวานเป็นหลัก



ภาพเหมยหลานฟางแสดงเป็นหยางกุ้ยเฟย

ต่อมาเหมยหลานฟาง ปรมาจารย์คนสำคัญผูัทำให้บทตัวนางมีความสำคัญขึ้นมาเทียบเท่าบทตัวพระ 
เริ่มจากการปรับปรุงทำนองการร้องที่แข็งทื่อให้มีความอ่อนหวานขึ้น แต่ยังคงแฝงไว้ด้วยน้ำเสียงที่เข้มแข็งก้องกังวาน ท่าทางจากที่ยืนเฉย ก็เริ่มมีการเคลื่อนไหวให้เข้ากับบทร้อง มีการใช้การกรีดมือและนิ้วมาช่วยเพิ่มความละเอียดอ่อนให้กับการแสดง แก้ไขการแต่งหน้าที่แต่เดิมไม่ค่อยพิถีพิถันให้ดูงดงามมากขึ้น 

สาเหตุที่งิ้วในสมัยก่อนต้องใช้ผู้ชายมารับบทนางนื่องมาจากสภาพสังคมที่ชายเป็นใหญ่กอปรกับธรรมเนียมปฏิบัติระหว่างชายหญิงที่เคร่งครัด ทำให้จำเป็นต้องใช้ผู้ชายในการแสดง สถานะของผู้หญิงในสมัยก่อนอยู่ต่ำกว่าชายมาก แม้แต่การดูงิ้ว ก็ยังไม่สามารถไปดูได้ ผู้หญิงโบราณจะได้ดูงิ้วก็ต่อเมื่อที่บ้านตนมีงานและจ้างงิ้วมาทำการแสดง โดยจะแยกที่นั่งชายหญิงเป็นสองฝั่งชัดเจน ต่อมาเริ่มอนุญาตให้ผู้หญิงไปดูงิ้วตามโรงได้ แต่ยังคงแยกที่นั่งอยู่ จวบจนเมื่อเริ่มนั่งรวมกันได้ จึงเริ่มเกิดนักแสดงหญิงขึ้นมาบนเวทีงิ้ว



ภาพความอ่อนช้อยของมือเหมยหลานฟาง

ข้อดีของนักแสดงชายที่รับบทตัวนางสรุปคร่าวๆได้คือ

1. เสียงของผู้ชายจะมีพลังและความทุ้มมากกว่าผู้หญิง แม้จะเป็นการดัดเสียงก็ตาม เสียงผู้ชายก็จะมีคีย์ที่สูงกว่าและน้ำเสียบที่กว้างกว่า ในขณะทีานักแสดงหญิงส่วนมากเมื่อดัดเสียงแล้วเสียงจะเล็กและแหลม จนบางทีไม่น่าฟังเท่าเสียงผู้ชาย
2.รูปร่างที่สูงโปร่งของผู้ชายเมื่ออยู่บนเวทีจะสามารถดึงดูดความสนใจผู้ชายได้ดีกว่าผู้หญิงที่มีรูปร่างเล็ก เพราะการแสดงบนเวทีเป็นการชมจากระยะไกล และเมื่อมีอายุมากขึ้น ผู้ชายจะมีรูปร่างที่อวบอิ่ม ในขณะที่ผู้หญิงจะดูไปทางอวบอ้วนมากกว่า
3. อายุการแสดงของผู้ชายจะยาวนานกว่าผู้หญิงเนื่องจากสภาพร่างกายที่แข็งแรงกว่าทางเพศกำเนิดแต่ต้น
4. ความละเอียดอ่อนในการแสดงบทนาง ผู้ชายจะทำได้ดีกว่าผู้หญิง เพราะผู้ชายจะต้องเลียนแบบท่าทางผู้หญิงออกมาทำให้ในสมองต้องตั้งใจคิดตลอดเวลาว่าจะทำให้อย่างไรให้เหมือนหญิงดังนั้นท่าทางการแสดงออกจะละเอียดมากกว่าผู้หญิงที่โดยธรรมชาติเป็นหญิงอยู่แล้วจึงแสดงออกตามธรรมชาตินักแสดงชายที่รับบทนางที่เล่นได้งดงามจึงมักถูกชมว่า เป็นผู้หญิงยิ่งกว่าผู้หญิง

ดังนั้น จะเห็นได้ว่าความงามของตัวนาง ต้องอาศัยการแสดงออกที่นุ่มนวล แต่แท้จริงภายในต้องมีแก่นหรือทักษะและกำลังที่เข้มแข็งเป็นพื้น จึงจะสามารถแสดงพลังของสองขั้วออกมาได้อย่างสมดุล


บทพระเอกในการแสดงงิ้ว เป็นบทที่สำคัญที่สุดในอดีต ในภาษาจีนออกเสียงว่าเซิงโดยจะแบ่งออกเป็นช่วงอายุต่างๆ หากยังอยู่ในวัยกำดัดก็จะแต่งหน้าตามีสีสดใส ไม่ติดหนวดเรียกว่าบทเสี่ยวเซิง  บทวัยกลางคนก็จะเริ่มมีการติดหนวดเครา ซึ่งตัวละครพระเอกที่มีหนวดนี้เรียกว่าเหล่าเซิง เรียกอีกอย่างได้ว่าพระเอกหลักหรือ เจิ้งเซิง ซึ่งเน้นที่ทักษะการขับร้องเป็นสำคัญ



      วัฒนธรรมการไว้หนวดในจีนมีมานานแต่โบราณ เป็นเครื่องแสดงความงามของบุรุษเพศ การไว้หนวดของชาวจีนมักจะเริ่มไว้กันในปีเสือหรือปีมะโรงเพื่อเอาเคล็ดว่าเป็นหนวดเสือหนวดมังกร จะไม่เริ่มต้นกันในปีชวดหรือปีหนู ดังนั้นเราจึงมักพบเห็นภาพวาดโบราณของจีนที่ชายหนุ่มจะมีหนวดเคราบนใบหน้า ตั้งแต่ฮ่องเต้ยันสามัญชน ในส่วนของวรรณกรรม หนวดเคราก็เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่มักจะถูกนำมาบรรยายลักษณะของตัวละคร โดยเฉพาะในเรื่องสามก๊กที่ถือเป็นวรรณกรรมที่เน้นที่ตัวละครชาย รบทัพจับศึก ต่างจากเรื่องความฝันในหอแดงที่ไม่บรรยายความงามของบุรุษเพศด้วยหนวดเครา แต่จะองที่ความงามที่ความสูงสง่าของ รูปร่างมาก อย่างในสามก๊กก็เช่น เตียวหุยตาโต หน้าผากกว้าง หนวดดังเสือ หรือกวนอูสูงเก้าเชียะ หนวดยาวสองเชียะ โจโฉตาเล็กหนวดยาว ซุนกวนตาฟ้าหนวดแดง ฯลฯ



ภาพกวนอูผู้ลือชื่อด้านความงามของหนวด

หรือแม้แต่ในบันทึกประวัติศาสตร์ก็มักกล่าวถึงหนวดเคราเมื่อมีการบรรยายถึงบุคคล เช่น เล่าปังมีใบหน้าสง่าดุจมังกร มีหนวดอันงดงาม ฯลฯ ดังนั้นในอดีตจึงมีการลงโทษด้วยการจับโกนหนวดเครา ถือเป็นการดูหมิ่นความเป็นชายให้ผู้รับโทษได้รับความอับอาย การไว้หนวดยังเป็นสัญลักษณ์และธรรมเนียมนิยมอย่างหนึ่งของข้าราชสำนัก เช่น ในราชวงศ์ก็ยังมีกลอนที่แสดงถึงการย้อมหนวดให้ดำหรือถอนหนวดที่หงอกขาวทิ้งเพื่อให้ดูไม่ขัดตายามต้องรับใช้ฮ่องเต้ที่ยังทรงพระเยาว์ หรือในรวงศ์ซ่งก็ยังมีเรื่องของโค่วจุ่นที่หาวิธีย้อมหนวดให้ขาวเพื่อให้ตนดูมีวัยวุฒิมากขึ้นสมกับตำแหน่งมหาเสนาบดี ดังนั้นบรรดารูปวาดข้าราชการสมัยโบราณ หนวดเคราจึงเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่ขาดไม่ได้เสียเลยในภาพเหล่านั้น โดยจะแบ่งออกเป็นหนวดแบบบู๊และบุ๋น แบบบู๊คือหนวดเสือแบบเตียวหุย คือมีลักษณะเป็นเส้นแข็งชี้ตรงอย่างหนวดของเสือ แบบบุ๋นคือหนวดที่เรียงตัวยาวสลวยลงมาบริเวณใต้คางและจอนทั้งสองข้าง


ภาพสีหนวดบอกอายุ

ในการแสดงงิ้วก็เช่นเดียวกันหนวดงิ้วจะโดดเด่นที่ความยาวเกินจริงนั่นเพราะทำขึ้นเพื่อการแสดงโดยเฉพาะ หนวดของตัวพระมักจะใช้หนวดแบบสามช่อหนือหนวดแบบบุ๋นที่ได้กล่าวไปหากเป็นตัวละครมีอายุมากมักจะสวมหนวดที่หนาเตอะคลุมทั้งคาง โดยสีของหนวดจะแบ่งตามอายุคือดำ เทาและขาว และยังมีสีแดง เขียว ดำแซมขาว ฯลฯ สำหรับตัวละครบางตัวที่มีเอกลักษณ์ เช่น ซุนกวน สุหม่าเอี๋ยน ฯลฯ การสะบัดหนวดในการแสดงงิ้วยังเป็นอีกทักษะที่นักแสดงงิ้วจะเป็นต้องเรียนรู้ สะบัดอย่างไรให้สวยพริ้วไม่พันกันมั่ว สามารถควบคุมให้เป็นส่วนหนึ่งของร่างกาย ดังนั้นหนวดในการแสดงงิ้วจึงเป็นสิ่งสำคัญที่ขาดไม่ได้ความสำคัญของมันจึงถูกเลือกนำมาใช้กับบทพระเอกหลัก ซึ่งเป็บบทบาทที่สำคัญที่สุดในการแสดงในสมัยโบราณ

หนวดกับบทบาทความเป็นพระเอก มักจะมาคู่กันเสมอในสมัยโบราณ พูดให้เข้าใจง่ายๆก็คือหนวดทำให้ผู้ชายดูสมชายชาตรี เพราะเป็นสิ่งที่ผู้หญิงไม่สามารถมีได้ แม้แต่ปัจจุบันที่มักนิยมผู้ชายที่หน้าเกลี้ยงเกลา แต่ก็ยังมีบางส่วนที่ยังคงนิยมชมชอบผู้ชายที่ไว้หนวดเคราเพราะมองว่าเท่และดูแมน ความนิยมนี้จึงเปลี่ยนไปตามยุคสมัย แต่ความหมายของหนวดเคราก็ไม่ได้เปลี่ยนไปจากอดีตเท่าไรมากนัก ผู้ชายกับหนวดจึงเป็นสิ่งที่แยกกันไม่ได้แม้แต่ในเวทีงิ้วก็ตาม 须眉ที่แปลว่าหนวดและคิ้วในภาษาจีนจึงหมายถึงผู้ชายได้อีกด้วย

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น