งิ้วปักกิ่ง

งิ้วปักกิ่งของจีนถูกขนานนามว่าเป็นอุปรากรแห่งบูรพานับเป็นมรดกทางวัฒนธรรมแห่งชาติขนานแท้ของจีน เพราะเกิดขึ้นในปักกิ่ง จึงมีชื่อเรียกกันว่า จิงจวี้ที่แปลเป็นไทยว่า งิ้วปักกิ่งงิ้วปักกิ่งมีประวัติกว่า 200 ปีแล้ว ต้นกำเนิดของงิ้วปักกิ่งต้องย้อนหลังไปถึงงิ้วท้องถิ่นเก่าแก่บางชนิดในอดีต โดยเฉพาะคือ ฮุยปันที่เป็นงิ้วท้องถิ่นที่เคยแพร่หลายอย่างกว้างขวางในภาคใต้ของจีนเมื่อศตวรรษที่ 18   ในปี 1790  คณะงิ้วท้องถิ่นฮุยปันคณะแรกเข้าสู่กรุงปักกิ่งเพื่อเข้าร่วมงานแสดงเนื่องในวโรกาสเฉลิมฉลองวันเฉลิมพระชนมพรรษาของจักรพรรดิ หลังจากนั้น มีคณะแสดงงิ้วฮุยปันจำนวนไม่น้อยได้ทยอยเข้าไปแสดงในกรุงปักกิ่ง เนื่องจากฮุยปันเคลื่อนย้ายไปมาตามที่ต่าง ๆ บ่อย ๆ เข้าใจดูดซับเอาบทละครและศิลปะการแสดงของงิ้วชนิดอื่น ๆ มาปรับใช้เป็นของตัวเองอยู่เสมอ ประกอบกับปักกิ่งเป็นแหล่งที่รวมของงิ้วท้องถิ่นมากมาย จึงช่วยให้ ฮุยปันได้ยกระดับศิลปะการแสดงสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ในปลายศตวรรษที่ 19  ต้นศตวรรษที่ 20 หลังผ่านการหลอมรวมเป็นเวลานานหลายสิบปี งิ้วปักกิ่งจึงก่อรูปขึ้นในที่สุด และกลายเป็นการแสดงงิ้วบนเวทีชนิดใหญ่ที่สุดของจีน

      ในบรรดางิ้วชนิดต่าง ๆ ของจีน งิ้วปักกิ่งครองอันดับหนึ่งในหลาย ๆ ด้าน เช่น ความหลากหลายของบทละคร จำนวนศิลปินนักแสดง จำนวนคณะแสดง จำนวนผู้ชมผู้ฟังและอิทธิพลที่กว้างขวาง เป็นต้น
      งิ้วปักกิ่งเป็นศิลปะการแสดงสมบูรณ์แบบที่รวมศิลปะการขับร้อง” “การพูด” “การแสดงลีลา”  “การแสดงศิลปะการต่อสู้และระบำรำฟ้อนเข้าไว้ด้วยกัน ตัวละครของงิ้วปักกิ่งที่สำคัญแบ่งเป็น เซิง”( เพศชาย) ตั้น”( เพศหญิง)  จิ้ง” ( เพศชาย) และโฉว”( มีทั้งเพศชายและเพศหญิง) นอกจากนั้นยังมีตัวละครประกอบอีกจำนวนหนึ่ง

      รูปแบบการแต่งหน้าเป็นศิลปะที่มีเอกลักษณ์ที่สุดของงิ้วปักกิ่ง ความซื่อสัตย์กับความคดโกง ความงามกับความขี้เหร่ ความดีกับความชั่วและความสูงศักดิ์กับความต่ำต้อย เป็นต้น ต่างก็แสดงให้เห็นได้โดยผ่านลวดลายในการแต่งหน้า เช่น สีแดงใช้กับบุคคลที่มีความซื่อสัตย์ สีม่วงเป็นสัญลักษณ์แห่งความชาญฉลาด ความกล้าหาญและความมีน้ำใจ สีดำสะท้อนถึงอุปนิสัยใจคอสูงส่งที่ซื่อตรง สีขาวบ่งบอกถึงความคดโกงและความโหดเหี้ยมของคนร้าย สีน้ำเงินแฝงไว้ซึ่งความหมายที่มีใจนักสู้และเก่ากล้า สีเหลืองใช้กับตัวละครที่โหดร้ายทารุณ ส่วนสีทองกับสีเงิน มักจะใช้กับตัวละครที่เป็นเทวดาและภูตผีปีศาจ

      มีความเห็นทั่วไปว่า ปลายศตวรรษที่ 18 เป็นช่วงเวลาแรกที่เจริญรุ่งเรืองที่สุดของงิ้วปักกิ่ง เวลานั้น นอกจากมีสภาพการแสดงงิ้วที่เจริญคึกคักของภาคเอกชนแล้ว การแสดงงิ้วภายในพระราชวังก็มีบ่อยครั้งเช่นกัน ทั้งนี้เป็นเพราะว่า บรรดาขุนนางผู้ดีเชื้อพระวงศ์ต่างก็ชื่นชอบงิ้วปักกิ่ง ส่วนเงื่อนไขทางวัตถุที่ดีภายในพระราชวังก็ได้เอื้ออำนวยความสะดวกไม่น้อยแก่การแสดงงิ้วปักกิ่ง  ตั้งแต่การแต่งหน้านักแสดง เสื้อผ้าอาภรณ์ เวทีแสดงและการจัดฉากแสดง เป็นต้น งิ้วในวังกับงิ้วชาวบ้านส่งผลต่อกันและกัน ทำให้งิ้วปักกิ่งมีการพัฒนาก้าวหน้าอย่างเป็นประวัติการณ์

      ตั้งแต่ทศวรรษที่ 1920 ถึง ทศวรรษที่ 1940 ของศตวรรษที่ 20 เป็นช่วงเวลาที่สองที่งิ้วปักกิ่งรุ่งเรืองเต็มที่ สัญลักษณ์แห่งความเจริญรุ่งเรืองของงิ้วปักกิ่งในยุคนี้คือ งิ้วปักกิ่งสำนักต่าง ๆ เกิดขึ้น งิ้วปักกิ่งสี่สำนักที่มีชื่อเสียงโด่งดังที่สุดคือ สำนักเหมย สำนักซั่ง สำนักเฉิงและสำนักสุน แต่ละสำนักต่างก็มีนักแสดงชื่อดังจำนวนมาก พวกเขาออกแสดงงิ้วปักกิ่งตามเวทีละครอย่างคึกคักในเมืองใหญ่ ๆ เช่น นครเซี่ยงไฮ้และกรุงปักกิ่งเป็นต้นอย่างคึกคัก ทำให้ศิลปะงิ้วปักกิ่งปรากฏสภาพเจริญรุ่งเรื่องเต็มเปี่ยม
      นายเหมยหลันฟังเป็นหนึ่งในศิลปินนักแสดงงิ้วปักกิ่งที่มีชื่อเสียงโด่งดังที่สุดในโลก เขาเริ่มเรียนรู้การแสดงงิ้วตั้งแต่อายุ 8 ขวบ ขณะอายุ 11 ปีก็ออกแสดงบนเวทีแล้ว เหมยหลันฟังเป็นศิลปินนักแสดงงิ้วปักกิ่งนานกว่า 50 ปี  ระหว่างนี้ เขาได้ประดิษฐ์คิดสร้างและพัฒนาศิลปะงิ้วปักกิ่งในด้านต่าง ๆ ตั้งแต่ทำนองการขับร้อง การพูด ระบำรำฟ้อน ดนตรี  ชุดแสดงและการแต่งหน้าแต่งตัว เป็นต้น ก่อรูปขึ้นเป็นท่วงทำนองศิลปะที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวของตน ในปีค.ศ.1919  เหมยหลันฟังนำคณะงิ้วปักกิ่งเดินทางไปแสดงในประเทศญี่ปุ่น นับเป็นครั้งแรกที่ศิลปะงิ้วปักกิ่งแพร่หลายไปสู่โพ้นทะเล  ในปี 1930 เหมยหลันฟังนำคณะงิ้วปักกิ่งเดินทางไปแสดงที่อเมริกา ก็ประสบความสำเร็จอย่างมากเช่นกันต่อมา ปี 1934 ลันฟังเดินทางไปเยือนยุโรปตามคำเชิญ ได้รับความสนใจยิ่งจากวงการงิ้วของเหมยหยุโรป  หลังจากนั้น  พื้นที่ต่าง ๆ ทั่วโลกเริ่มถืองิ้วปักกิ่งเป็นสำนักวิชาการแสดงบนเวทีสำนักหนึ่งของจีน

(นักแสดงตั้นที่มีชื่อเสียง 4 คนคือ นายเหมย หลานฟัง นายเฉิง ยั่นชิว นายสุน ฮุ่ยเซิงและนายซั่ง เสี่ยวหยูน)

      นับตั้งแต่จีนดำเนินการปฏิรูปและเปิดประเทศเป็นต้นมา ศิลปะงิ้วปักกิ่งได้รับการพัฒนาใหม่อีกครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือ  งิ้วปักกิ่งในฐานะเป็นมรดกทางศิลปกรรมที่มีมาแต่ดั้งเดิมของจีนได้รับการสนับสนุนอย่างมากจากรัฐบาลจีน ทุกวันนี้ ในโรงละครใหญ่ฉางอานในกรุงปักกิ่งจัดแสดงงิ้วปักกิ่งตลอดทั้งปี  การแข่งขันงิ้วปักกิ่งของนักแสดงสมัครเล่นระหว่างประเทศที่จัดขึ้นทุกปีได้ดึงดูดผู้รักงิ้วปักกิ่งจากพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วโลกมาเข้าร่วม นอกจากนี้  งิ้วปักกิ่งยังเป็นรายการที่ขาดเสียมิได้ในการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมระหว่างจีนกับต่างประเทศทุกครั้ง
ละครงิ้วปักกิ่งได้รับฉายาว่า"โอเปราตะวันออก" ซึ่งเป็นวัฒนธรรมอันเลิศล้ำของจีน ได้ชื่อว่าเป็นงิ้วปักกิ่งก็เพราะก่อรูปขึ้นที่กรุงปักกิ่ง ละครงิ้วปักกิ่งมีประวัติยาวนานกว่าสองร้อยปี แหล่งกำเนิดของละครงิ้วปักกิ่งคือละครท้องถิ่นโบราณหลายชนิด โดยเฉพาะ"ฮุยบาน"ซึ่งเป็นละครท้องถิ่นที่ได้รับความนิยมกันในภาคใต้ของจีนเมื่อศตวรรษที่้18 ละคร"ฮุยบาน"เป็นละครที่มักจะเคลื่อนที่ไปตามสถานที่ต่างๆ ทำให้รับเอาเรื่องราวและวิธีการแสดงของละครอื่นมาผสมหลอมรวม กรุงปักกิ่งได้รวบรวมละครท้องถิ่นหลายชนิด ซึ่งทำให้ละคร"ฮุยบาน"ได้รับการพัฒนาขึ้นทางด้านศิลปะอย่างรวดเร็ว
เมื่อปลายศตวรรษที่19และต้นศตวรรษที่20 ผ่านการผสมผสานเป็นเวลาหลายสิบปี ละครงิ้วปักกิ่งจึงได้ก่อรูปขึ้น และได้กลายเป็นรูปแบบละครที่ใหญ่ที่สุดของจีน ความสมบูรณ์หลากหลายของรายการ จำนวนมากมายของศิลปิน นักแสดง โรงละครและผู้ชม ตลอดจนความกว้างขวางของอิทธิพลของละครงิ้วปักกิ่งต่างก็อยู่อันดับต้นๆในละครชนิดต่างๆของจีน ละครงิ้วปักกิ่งเป็นศิลปการแสดงรวม ซึ่งได้ครอบคลุม"การร้อง(ร้องเพลง) การพูด(บทสนทนาละครงิ้ว) การแสดงท่าทาง การเล่นบทวิทยายุทธ)และการรำ(แสดงระบำ)"เข้าด้วยกัน เป็นการบรรยายเรื่องราวและอุปนิสัยของบุคคลโดยผ่านวิธีการแสดงรูปแบบต่างๆ




ตัวแสดงของละครงิ้วปักกิ่งได้แบ่งได้เป็นห้าแบบ ได้แก่ เซิง ตั้น จิ้ง ม่อ โฉ่ว แต่ละแบบยังสามารถแยกย่อยได้เป็นหลายสาขาที่ละเอียดลงไปอีกดังต่อไปนี้
เซิงจะแบ่งเป็น "เหล่าเซิง"หมายถึงผู้ชายวัยกลางคน ปกติจะแสดงตัวเป็นบุคคลที่มีนิสัยซื่อสัตย์หรือนายพลฮ่องเต้ ส่วน"เสี่ยวเซิง"หมายถึงหนุ่มๆ
ตั้นจะแบ่งเป็น "ชิงอี"หมายถึงสตรีวัยกลางคน ปกติจะหมายถึงสตรีในบ้านตระกูลสูงศักดิ์
"อู่ตั้น"หมายถึงสตรีที่เก่งทางวิทยายุทธ ส่วน"ฮัวตั้น"หมายถึงเด็กสาวรุ่น หรือสตรีชั้นต่ำสุด เช่น"หญิงผู้รับใช้"
จิ้งหมายถึงตัวแสดงที่ทาหน้าจนลาย ปกติจะเป็นตัวบุคคลฝ่ายชายที่มีลักษณะพิเศษในอุปนิสัยหรือหน้าตา
ม่อเป็นประเภทคนชรา หมายถึงคนชราชั้นต่ำที่มีอายุมาก ความคิดค่อนข้างเลอะเทอะ เนื่องจากเวลาแต่งหน้าจะทาแป้งขาวบนจมูกเลยได้ชื่อว่า"เสี่ยวฮัวเหลี่ยน"
ส่วน"โฉ่ว"หมายถึงเสี่ยวฮัวเหลี่ยน ส่วนมากหมายถึงบุคคลที่ดำรงชีวิตอยู่ชั้นต่ำสุดของสังคม
          หน้ากากงิ้วเป็นศิลปะที่มีลักษณะพิเศษมากที่สุดในละครงิ้วปักกิ่ง ความซื่อสัตย์หรือชั่วร้าย ความสวยหรือขี้เหร่ ความดีหรือร้าย ฐานะชั้นสูงหรือต่ำของบุคคลต่างๆนั้น ล้วนสามารถแสดงออกโดยผ่านหน้ากาก ยกตัวอย่างเช่น สีแดงแสดงว่านิสัยซื่อสัตย์ สีม่วงแสดงว่านิสัยกล้าหาญและมีความเฉลียวฉลาด สีดำแสดงว่าบุคคลนี้มีอุปนิสัยที่ดีและซื่อสัตย์ สีขาวแสดงว่าบุึคคลนี้นิสัยชั่วใจร้าย สีน้ำเงินแสดงว่าแข็งแรงเก่งวิทยายุทธและกล้าหาญ สีเหลืองแสดงว่านิสัยเหี้ยมโหดทารุณ ส่วนสีทองและสีเงินส่วนมากจะใช้แสดงเทวดา พระพุทธรูปหรือพวกผีและปีศาจ หน้าทองตัวทอง เป็นสักลักษณ์ที่แสดงให้เห็นถึงความว่างเปล่าและความปาฎิหาริย์



ช่วงปลายศตวรรษที่18เป็นระยะขยายตัวช่วงแรกของการพัฒนาละครงิ้วปักกิ่ง ในขณะนั้น ไม่เพียงแต่ละครงิ้วพื้นเมืองได้พัฒนาไปอย่างรวดเร็ว การแสดงละครงิ้วภายในราชวังก็นิยมกันไม่น้อย เนื่องจากฮ่องเต้และขุนนางต่างก็นิยมชมละครงิ้วปักกิ่ง เงื่อนไขทางวัตถุที่ดีในราชวังสามารถอำนวยความสะดวกที่ดีในด้านต่างๆ เช่น การแสดง การแต่งตัว การแต่งหน้าและการตกแต่งเวทีเป็นต้น ละครในวังและละครพื้นเมืองมีอิทธิพลต่อกันและกัน ทำให้ละครงิ้วปักกิ่งได้รับการพัฒนาไปอย่างรวดเร็วมาก เมื่อทศวรรษที่20-40ศตวรรษที่แล้วเป็นช่วงที่ละครงิ้วปักกิ่งเจริญมากเป็นช่วงที่สอง ในช่วงนี้ สัญลักษณ์ความเจริญของละครงิ้วปักกิ่งคือการเกิดขึ้นของสำนักต่างๆ ในจำนวนนี้ ที่มีชื่อเสียงที่สุดคือสำนักเหมย(นายเหมย หลานฟาง) สำนักซ่าง(นายซ่าง เสี่ยวหยุน) สำนักเฉิง(นายเฉิง เยี่ยนชิว) และสำนักสุน(นายสุน ฮุ่ยเซิง)สี่สำนัก แต่ละสำนักละครงิ้วปักกิ่งก็มีนักแสดงที่มีชื่อเสียงจำนวนหนึ่ง พวกเขาได้แสดงละครงิ้วปักกิ่งบนเวทีของกรุงปักกิ่งหรือที่นครเซี่ยงไฮ้เป็นต้น ทำให้เวทีศิลปะละครงิ้วปักกิ่งคึกคักเป็นอย่างยิ่ง ทำให้ทั่วโลกพากันยึดถือเอาละครงิ้วปักกิ่งเป็นตัวแทนสำนักวิชาการละครของจีน
นับตั้งแต่จีนได้ดำเนินนโยบายปฎิรูปและเปิดประเทศเป็นต้นมา ละครงิ้วปักกิ่งก็ได้มีการพัฒนาในรูปแบบใหม่ ในฐานะเป็นศิลปะการแสดงที่เก่าแก่ เลยได้รับการสนับสนุนอย่างมากจากรัฐบาลจีน ปัจจุบัน โรงละครฉางอันของกรุงปักกิ่งจะมีการแสดงรายการละครงิ้วปักกิ่งทุกปี การแข่งขันแฟนละครงิ้วปักกิ่งระหว่างประเทศที่จัดขึ้นทุกปีได้ดึงดูดแฟนละครงิ้วปักกิ่งในท้องที่ต่างๆทั่วโลก นอกจากนี้ ละครงิ้วปักกิ่งยังเป็นรายการประจำในการแลกเปลี่ยนทางด้านวัฒนธรรมระหว่างจีนกับต่างประเทศด้วย
รูปแบบการแต่งหน้าของงิ้วปักกิ่ง 中国国际广播电台
      รูปแบบการแต่งหน้าของงิ้วปักกิ่งคือลวดลายในการแต่งหน้าของผู้แสดงงิ้วที่ทาสีชนิดต่างๆเพื่อเป็นสัญลักษณ์ที่แสดงถึงอุปนิสัย คุณลักษณะและชะตากรรมของตัวละคร โดยทั่วไป การแต่งหน้าสีแดงมีความหมายในทางดี เป็นสัญลักษณ์ของผู้ซื่อสัตย์และกล้าหาญ การแต่งหน้าสีดำมีความหมายกลาง ๆ เป็นสัญลักษณ์ของผู้ห้าวหาญ ไม่เห็นแก่ตัวและเฉลียวฉลาด การแต่งหน้าสีน้ำเงินกับสีเขียวก็มีความหมายกลาง ๆ เป็นสัญลักษณ์ของวีรบุรุษชาวบ้าน การแต่งหน้าสีเหลืองกับสีขาวมักจะมีความหมายในทางลบ เป็นสัญลักษณ์ของผู้เหี้ยมโหดและคดโกง ส่วนการแต่งหน้าสีทองกับสีเงินส่อความหมายที่ลึกลับ เป็นสัญลักษณ์ของภูตผีปีศาจ


การพัฒนาและการสืบทอดการแสดงงิ้วปักกิ่ง                                                                                                                                                      งิ้วปักกิ่งเป็นศิลปะคู่บ้านคู่เมืองของชาวจีน ที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานและมีพื้นฐานทางวัฒนธรรมที่มีคุณค่าอย่างมาก โรงเรียนการละครงิ้วปักกิ่งกำลังทดลองใช้วิธีการต่าง ๆ เพื่อสืบทอดและพัฒนางิ้วปักกิ่งให้ยั่งยืนและให้ผู้ชมในปัจจุบันสามารถเข้าถึงแก่นสารของงิ้วปักกิ่งอย่างง่ายดาย
ที่ท่านกำลังฟังอยู่นี้คือ งิ้วปักกิ่งเรื่อง จินยวู่หนู ที่แสดงโดยโรงเรียนการละครงิ้วแห่งปักกิ่ง เรื่องจินยวู่หนูเป็นรายการดั้งเดิมของศิลปะงิ้วปักกิ่ง รายการนี้มีอยู่ตอนหนึ่งที่ขึ้นชื่อว่า ใช้กระบองตีหนุ่มใจดำโดยเล่าว่า หญิงสาวชื่อ จินยวู่หนู เป็นลูกสาวของหัวหน้ากลุ่มขอทาน มีอยู่วันหนึ่ง หิมะตกหนัก จินยวู่หนูได้พบหนุ่มโม่จี ปัญญาชนยากไร้ จินยวู่หนูรู้สึกว่าโม่จีเป็นหนุ่มที่หน้าตาหล่อและเรียนเก่ง จะมีอนาคตสดใส จึงช่วยเหลือและดูแลโม่จีอย่างดี นานวันเข้า สองคนก็เกิดรักกัน จินยวู่หนูออกเงินให้โม่จีไปสอบที่เมืองหลวง แต่เมื่อโม่จีสอบได้เป็นจองหงวนแล้วก็ดูถูกและไม่สนใจจินยวู่หนูอีกเลย และยังผลักจินยวู่หนูตกลงไปในแม่น้ำระหว่างทางที่ไปรับตำแหน่งที่เมืองหลวง และเข้าใจว่า จินยวู่หวนถูกปลากินไปเสียแล้ว เมื่อถึงเมืองหลวงแล้ว โม่จีมัวแต่คบหาขุนนางผู้ดี และบากหน้าไปขออยู่ใต้บังคับบัญชาของขุนนางหลิน แต่โม่จีนึกไม่ถึงว่า จินยวู่หนูยังมีชีวิตอยู่ และขุนนางหลินก็รับไว้เป็นลูกบุญธรรม ขุนนางหลินยังทราบเรื่องระหว่างโม่จีกับจินยวู่หนูอีกด้วย ไม่นานนัก ขุนนางหลินก็เสนอให้โม่จีแต่งงานกับลูกบุญธรรมของตน โม่จีรู้สึกดีอกดีใจยิ่งที่ได้แต่งงานกับลูกบุญธรรมของขุนนางผู้ใหญ่ ก็ตอบตกลง ในคืนวันแต่งงาน หญิงคนใช้ของเจ้าสาวพากันไปตบตีโม่จี เมื่อโม่จีพบว่าเจ้าสาวเป็นจินยวู่หนูแล้ว ทีแรกนึกว่าเป็นผี เสร็จแล้ว โดนขุนนางหลินกับจินยวู่หนูร่วมกันประณามว่า กระทำพฤติกรรมไร้ความเมตตาและไร้คุณธรรม สุดท้าย โม่จียอมรับผิด และคืนดีกับจินยวู่หนู......
งิ้วปักกิ่งเป็นศิลปะที่เข้มงวดทั้งการร้องและการแสดง นาย เจิ้งเสียงเจิ้น พระเอกของเรื่องจินยวู่หนูประทัพใจความเข้มงวดของศิลปะงิ้วปักกิ่งอย่างยิ่ง เขากล่าวว่า งิ้วปักกิ่งเน้นการเข้าถึงตัวละคร ซึ่งก็คือความเข้าใจที่มีต่อบทบาทการแสดง ต้องเข้าใจทั้งการแต่งกายและความรู้สึกนึกคิดในใจของตัวละครให้ถูกต้องและอย่างละเอียดด้วย นอกจากต้องเข้าใจ้ตัวละครแล้ว ศิลปะงิ้วปักกิ่งยังเน้นการแสดงออกของงิ้วอีกด้วย นั่นก็คือ เมื่อเข้าใจนิสัยใจคอของบทแสดงแล้ว นักแสดงต้องแสดงออกมา ต้องคิดว่าจะแสดงอย่างไร ความคิดเกี่ยวกับการแสดงก็คือกระบวนการถ่ายทอดออกมาเป็นท่าทางของงิ้ว นาย เจิ้งเสียงเจิ้น แสดงงิ้วปักกิ่งมาเป็นเวลา 14 ปีแล้ว เขาเห็นว่า การพิจารณาฝีมือการแสดงของนักแสดงผู้ใดผู้หนึ่ง ต้องพิจารณาอย่างรอบด้าน สำหรับนักแสดงงิ้วปักกิ่ง การเล่นหูเล่นตาถือว่าสำคัญมาก เช่นใช้สายตาแสดงการเคลื่อนไหวต่าง ๆ ของม้าตัวหนึ่ง อาทิ ม้ากลางทะเลทราย ม้าข้ามร่องน้ำภูเขา ม้าเล็มหญ้าในราง หรือม้าที่วิ่งอยู่บนทางที่ตะกุกตะกัก การแสดงเหล่านี้ล้วนต้องคิดไปด้วย ยากที่จะใช้ภาษาพรรณนาได้ ปัจจุบัน นักเรียนชายที่ฝึกเล่นงิ้วปักกิ่งได้ดีมีน้อยมาก เพราะว่านักแสดงไม่เพียงแต่ต้องผ่านการฝึกอบรมที่เข้มงวดและเป็นเวลานาน หากยังต้องได้รับการยอมรับจากผู้ชมตลอดจนสามารถครองใจผู้ชมได้ ผมรู้สึกยินดีที่ได้มีโอกาสสืบทอดศิลปะงิ้วปักกิ่ง

 เพื่อดึงดูดผู้ชมให้มากขึ้น โรงเรียนการละครงิ้วปักกิ่งยังจัดการเรียนการสอนในห้องเรียนและนำไปแสดงบนเวที เพื่อให้ผู้ชมเรียนถึงขั้นตอนต่าง ๆ ของการฝึกเรียนงิ้วปักกิ่ง นาง ซุนยวู่หมิ่น ครูใหญ่ของโรงเรียนละครงิ้วปักกิ่งกล่าวว่า ในห้องเรียน ครูตีฆ้องอย่างมีจังหวะ นักเรียนจะเปลี่ยนกิริยาท่าทางตามจังหวะ นักเรียนต้องคุ้นเคยกับจังหวะของครู ไม่งั้นจะแสดงไม่ได้ เช่น การหยุดนิ่งอย่างฉับพลัน ครูมักจะให้นักเรียนหยุดนิ่งเป็นเวลากว่าสิบนาที เพื่อให้นักเรียนจดจำให้แม่นว่า ต้องหยุดนิ่งที่ไหน ต้องเปิดดวงตาขนาดไหน ต้องวางแขนขาอย่างไร นี่เป็นแบบฝึกหัดขั้นพื้นฐาน การเรียนการสอนขั้นพื้นฐานของงิ้วปักกิ่งตามปกติเป็นวิธีการสอนแบบหนึ่งต่อหนึ่ง ก็คือ ครูหนึ่งคนสอนนักเรียนหนึ่งคน การสอนแบ่งเป็นการสอนด้วยปากและการสอนด้วยจิตใจ การสอนด้วยจิตใจเป็นกระบวนการความคิดและความเข้าใจ การใช้วิธีการจัดการเรียนการสอนในห้องเรียนให้อยู่บนเวทีช่วยให้ชาวต่างชาติเข้าใจงิ้วปักกิ่งมากขึ้น ถือเป็นการเบิกทางสู่การเข้าถึงศิลปะดั้งเดิมของจีน ซึ่งเสมือนว่า การย้ายห้องครัวไปอยู่บนโต้ะอาหาร เพื่อให้ผู้คนทั้งหลายเรียนรู้ว่าอาหารจานใดจานหนึ่งปรุงออกมาอย่างไรเราเคยจัดการแสดงแบบนี้ที่ฝรั่งเศส สเปน อีตาลี กรีซและเบลเยี่ยมมาแล้ว และได้รับการต้อนรับจากผู้ชมชาวยุโรปเป็นอย่างดี
นอกจากนี้ เพื่อส่งเสริมให้งิ้วปักกิ่งน่าชมยิ่งขึ้น ศิลปินงิ้วปักกิ่งจีนยังใช้เครื่องมือและวิธีการแสดงที่ใช้ในละครงิ้วประเภทอื่น ๆ เข้าไปในการแสดงงิ้วปักกิ่งอีกด้วย เช่นการแสดงด้วยแขนเสื้อยาว 2 เมตรซึ่งเป็นการแสดงงิ้วจิ้น งิ้วพื้นเมืองของมณฑลซานซี การเอาตะเกียงทูลหัวซึ่งเป็นศิลปะการแสดงของงิ้วฉินเชียงศิลปะพื้นเมืองของมณฑลส่านซี เป็นต้น ปีหลัง ๆ นี้ งิ้วปักกิ่งยังผสมผสานการแสดงด้านกายกรรมและมายากลเข้าไปด้วย และได้รับความนิยมชมชอบจากผู้ชมเป็นอย่างยิ่ง
จีนมีละครงิ้วดั้งเดิมกว่า 300 ชนิด งิ้วปักกิ่งเป็นงิ้วที่แพร่หลายมากที่สุดและมีอิทธิพลมากที่สุดในจีน ซึ่งได้รวมศิลปะการร้อง การบอกเล่า ระบำและกังฟูไว้ในศิลปะเดียวกัน มีประวัติยาวนานกว่า 200 ปี เป็นศิลปะการแสดงที่เข้มงวดและมีเอกลักษณ์ รวบรวมสิ่งดี ๆ ไว้กว่าหนึ่งพันรายการ ปัจจุบัน บริโภคทางวัฒนธรรมในสังคมมีให้ผู้คนได้เลือกมากกมายหลากหลาย ศิลปะงิ้วปักกิ่งกำลังค้นหาลู่ทางการพัฒนาใหม่ ๆ เพื่อให้ศิลปะล้ำค่านี้สืบทอดต่อ ๆ กันไป

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น